ย้อนกลับ

‘ไชน่า แมชชีน’ เดินเกมรุกบุกหนักตลาดรถขุดในไทย

‘ไชน่า แมชชีน’ โตสวนกระแสเศรษฐกิจชะลอ-โควิด มั่นใจปีนี้ยอดยอดขายพุ่งเท่าตัวแตะ 4 พันล้านบาท พร้อมเร่งขยายศูนย์บริการหลังการขายครอบคลุม 20 แห่งทั่วไทย


นายเฉิน ปิง
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไชน่า แมชชีน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องจักรกลหนักระดับโลก ภายใต้แบรนด์ XCMG (Xuzhou construction machinery group) ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องจักรกลหนักอันดับ 3 ของโลก และอันดับ 1 ของจีน โดยดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบันก้าวสู่ปีที่ 4 โดยบริษัทฯ ทำตลาดหลักในกลุ่มรถขุด เครื่องจักรทำถนน รถเครน เป็นหลักและบริษัทฯ มียอดขายการเติบโตก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง ส่วนกระแสแม้แต่ในช่วงเศรษฐกิจประเทศย่ำแย่ด้วยสถานการณ์โควิด19 โดยในปีนี้จัดงานครั้งใหญ่ฉลองยอดขายทะลุ รวมสะสมครบ 1,000 คันในปี 2564 ที่ผ่านมา


การทำตลาดเครื่องจักรกลหนักแบรนด์ XCMG ในประเทศไทย ที่ทำให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น มาจากปัจจัยหลักประกอบด้วย แบรนด์ XCMG ความหลากหลายของเครื่องจักรกลที่ตอบสนองความต้องการในการก่อสร้างทุกประเภท เรามีความเชี่ยวชาญด้านการสื่อสารการทำตลาดร่วมกันระหว่างโรงงานบริษัทแม่ในประเทศจีน พร้อมผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในวงการธุรกิจของเครื่องจักรกลหนัก และความเข้าใจการทำตลาดในไทยเป็นอย่างดี


ทั้งนี้จากทิศทางดังกล่าว ในปี 2565 นี้ บริษัทฯ ได้วางแผนการทำตลาดแบรนด์ XCMG เชิงรุกอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดตัวรถขุด XCMG รุ่นพิเศษ XE205D สีขาว ซึ่งมีแค่เฉพาะเราที่มีขายเท่านั้น รถโม่ผสมคอนกรีตที่นำนวัตกรรมของ SCHWING Stetter ผู้คร่ำหวอดในวงการรถผสมคอนกรีตระดับชั้นแนวหน้าของโลก จากประเทศเยอรมัน และ รถขุด XCMG รุ่น XE135D โดยรถขุดรุ่นนี้ออกแบบพัฒนาโดย XCMG และ Cummins แรงบิดสูงที่ความเร็วต่ำและประหยัดเชื้อเพลิงสูง สามารถลดการใช้เชื้อเพลิงได้ถึง 7%


ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ไฮไลท์ของเราเตรียมเปิดตัวเครื่องจักรกลหนักไฟฟ้า 100% เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของบริษัทแม่ (Go Green) และสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมสีเขียว แต่รายละเอียดจะขอเก็บไว้ก่อนสำหรับกลยุทธ์การทำตลาดในปีนี้ บริษัทฯ มุ่งให้ความสำคัญในการทำตลาดออนไลน์และออฟไลน์ ควบคู่กันไปโดยเฉพาะการใช้โซเชียลมีเดีย มาร่วมสื่อสารการตลาดไปยังกลุ่มเป้าหมายลูกค้าองค์กรในภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้าง เช่น ผู้รับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มลูกค้าทั่วไปในภาคเกษตร เช่น ผู้ทำสวนทุเรียน, สวนยางพารา, ปลูกป่า เกษตรกรขุดบ่อเลี้ยงปลา เป็นต้น โดยคิดเป็นบริษัทก่อสร้าง อัตราส่วน 60% และ บุคคลธรรมดา อัตราส่วน 40%


“อีกหนึ่งความสำเร็จ ของบริษัทฯ เราได้การทำตลาดออนไลน์ภายใต้แบรนด์ XCMG by China Machine ผ่านโซเชียลมีเดีย และแพล็ตฟอร์มต่างๆ โดยใช้พนักงานขายของบริษัทฯ เป็นผู้นำเสนอขายสินค้าเองหมด ทั้งการไลฟ์ การทำคลิปวิดิโอสั้นแนะนำสินค้า เพื่อสร้างการจดจำระหว่างตัวของพนักงานเองกับลูกค้า ทั้งนี้พนักงานจะได้ทำความเข้าใจในสินค้าหรือผลิตภัณฑ์และพัฒนาศักยภาพของตนเองอีกด้วย และสุดท้ายก็จะทำให้แบรนด์มีความกระฉับกระเฉงตลอดเวลา”
นายเฉิน กล่าว


นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังวางแผนขยายสำนักงานให้ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการทั่วประเทศได้ครบ 20 สาขาเพื่อขยายศูนย์บริการหลังการขายเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่มากขึ้นในปีนี้ จากปัจจุบันบริษัทฯ เป็นผู้ดำเนินการเองจำนวน 11 สาขา และเป็นของตัวแทนขายจำนวน 7 สาขา โดยสาขาใหม่ที่บริษัทฯ เตรียมเปิดในพื้นที่จังหวัดชุมพร, พิษณุโลก, สมุทรสงคราม และพื้นที่ย่านสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ ซึ่งจะพัฒนาภายใต้แนวคิด Display Training Center รวมทั้งจะทำเป็นโชว์รูมและศูนย์ฝึกอบรมคนขับเครื่องจักรกลหนักโดยเฉพาะ เพื่ออบรมพนักงานทีมช่างให้มีความชำนาญมากขึ้นและในขณะเดียวกันเพื่อตอบแทนสังคมคนทั่วไปสามารถเข้ามาฝึกอบรมพร้อมรับใบเซอร์ฯ เพื่อเพิ่มโอกาสในการใช้งานและในส่วนศูนย์ฝึกอบรมคาดว่าจะทำการเปิดตัวในเดือนพฤษภาคมปีนี้


นายเฉิน
กล่าวว่า แนวทางดังกล่าวเพื่อรองรับตลาดอุตสาหกรรมหนักของไทยในภาพรวม ที่เติบโตต่อเนื่อง ตามภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้างของประเทศแม้ในบางช่วงจะประสบภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ภาครัฐ-เอกชนยังผลักดันงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รวมถึงสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 แต่ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ด้วยอุตสาหกรรมหนักยังมีความต้องการสินค้าสูง จนผลักดันให้กลุ่มรถขุด รถตัก ฯลฯ ในภาพรวมมีการเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 20% ในปี 2564


จากแนวโน้มดังกล่าว บริษัทฯ วางเป้าหมายในปี 2565 มีอัตราการเติบโตยอดขายเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวจากปีก่อน หรือมียอดขายไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท พร้อมส่วนแบ่งตลาดไม่ต่ำกว่า 14-15% โดยผลักดันให้บริษัทฯ สามารถฉลองยอดขายได้ 2,000 คันในปีนี้ และคาดว่าจะขึ้นเป็นผู้นำตลาดอันดับ 2 ของไทยได้ภายใน 3-4 ปีข้างหน้านับจากนี้ ปัจจุบันบริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดราว 8% เป็นอันดับ 5 จากผู้เล่นในตลาดที่มีอยู่กว่า 10 ราย โดยปีที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายกว่า 1,800 ล้านบาท